วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

คนไทยทำไมต้อง "พอเพียง"


      สังคมไทยมีลักษณะโครงสร้างแบบครอบครัวขนาดใหญ่ อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยน้ำและความหลากหลายทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ต่างจำเป็นต้องพึ่งพาฟ้าฝนเป็นอย่างมาก เพราะอาชีพของผู้คนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดของสังคมไทยเป็นสังคม"เกษตรกรรม"ในยุคแรกเริ่ม ฉนั้นความมั่นคง และความมั่งคั่งทั้งหลายไม่อาจชีวัดด้วยเงินมาแต่แรก หากแต่วัดกันที่ เรือกสวนไร่นา ช้าง,ม้า,วัว,ควาย,ยุ้งฉางมีข้าวเต็ม ที่เปรียบแล้วดั้งทรัพย์สินหมุนเวียนและทรัพย์สินถาวร ที่มีค่าทวีตามวันเวลา ตราบที่ไม่เดือดร้อน การพึงพากันจึงเป็นดังการแลกเปลียน การทดแทนคุณค่า ให้เท่าเทียม แม้แต่ยามที่ต้องไปสู่ขอแต่งงาน ยังต้องทดแทนคุณค่ากันด้วยสินสอดที่เป็น ช้าง,ม้า,วัว,ควาย,ที่นาเป็นต้น
      ซึ่งต่างจากสังคมตะวันตกส่วนใหญ่ที่เติบโตมาจากการให้ความสำคัญกับนักปราชญ์,นักบวช และผู้ทรงภูมิปัญญาทั้งหลาย อาศัยความได้เปรียบในแง่ต่างๆแย่งชิงประเทศอื่นๆเป็นเมืองขึ้น แล้วเอาทรัพยากรไปใช้ ทั้งในแง่การค้า,การผูกขาด,กดดันเอาสัมปทานในรูปแบบต่างๆ มีสังคมแบบผู้ดี ฟุ้งเฟ้อ มาแต่แรก และเติบโตด้วยการค้าแบบได้เปรียบมาตลอด เพราะไม่สามารถยืนอยู่ด้วยทรัพยากรของตัวเองมาแต่แรก ด้วยสภาพดิน ฟ้า อากาศ ไม่ได้เอื่อการการทำการเกษตร
      ถึงตอนนี้แล้วอาจไม่ต้องตอบด้วยซ้ำว่า "คนไทยทำไมต้องพอเพียง" เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทยไม่ใช่ต้นทุนต่ำ แต่มันไม่มีต้นทุนด้วยซ้ำ แม้ยามจะกินก็พริก ผักข้างบ้านริมรั้ว ยามฝนก็มีเห็ดมีพืชผักในป่า หาปลาในหนองน้ำ,กบ,เขียด, กระปอม อื่นๆเยอะแยะ 
      เอาละถึงตอนนี้หลายอย่างมันเปลียนไปไม่เหมือนเดิมจะมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร ที่จริงแล้วรากเหง้าของปัญหาที่สำคัญของสังคมแบบ "บริโภคนิยม" หรือสังคมระบบทุนนิยมก็คือการเร่งเร้าให้เกิดการใช้จ่าย การบริโภค ซึ่งขัดกับกับหลักโครงสร้างทางสังคมไทยที่เน้นการพึ่งพาอาศัยกันและกัน การพึงพาตนเอง ความเป็นอยู่อย่างพอเพียงแต่มั่นคง มั่งคั่งโดยตัวมันเอง เมื่อระบบบริโภคนิยม เข้ามาแล้วความอยากมี อยากได้ มันสดวก มันสบายก็เข้ามาในชีวิต วิถีที่ดีงามก็เริ่มถูกมองข้าม รากเหง้าที่เป็นกรอบทางสังคม กรอบทางประเพณีวัฒนธรรมก็เริ่มเลือนหาย และเมือกรอบทั้งหลายมันเลือนหายและผุพัง คนก็ไม่อยู่ในวิถีที่จะดีได้เหมือนเดิม เมือสามัญสำนึกมันเริ่มแผ่วเพราะความจำเป็นในภาระการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย,ค่างวด,หนี้สิน คนจึงมีต้นทุนสำหรับคำว่าดี เพราะปากกัดตีนทีบ ทำอย่างไรก็ต้องให้ได้มา มีอยู่วันหนึงไปทุ่งนากับลูกหลานคนในเมือง นึกขึ้นได้ว่าเด็กรุ่นหลังๆในเมืองรู้จักแต่ข้าวสวยร้อนๆในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า จึงชีไปที่ต้นข้าวในทุงนาแล้วบอกว่า "นีแหละที่เป็นข้าวสวย"ให้พวกเองกิน มันมองหน้าสองครั้งแล้วสายหน้า พร้อมกับยิ้มแบบเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้วพูดว่า "ไม่เชื่อ ไม่เห็นเหมือนเลย" ผมงงอยู่พักหนึง เรามาถึงจุดนี้ได้ไง
      ขออ้างถึงพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 เรื่องทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง แม้จะไม่ได้รู้อะไรลึกซึ้ง แต่ก็พอทราบ ใช้หลักเดียวกันคือซีกรายได้มันต้องเท่ากับซีกรายจ่าย ถ้าไม่เท่าก็แปลว่าติดลบและชีวิตจริงมันลบไม่ได้ ถึงยังไงมันก็ต้องหามาเติม แรกๆก็หากู้,ยืม, ทั้งนอกทั้งในระบบ พอหนักเข้าก็เสี่ยงโชคเริ่มจากหวยใต้ดิน,ล็อดเตอรี่ หนักเข้าก็ไพ่,ไฮโรในงานศพตามชุมชน สุดท้ายก็เข้าบอนตามชายแดนเยอะเยะมีรถรับส่งฟรี บางคนก็โชคดีไปถูกหวยถูกลอ็ดเตอรี่ได้เงินก้อนมา แต่ก็เหมือนทุกข์ลาภไม่นานก็หมดชีวิตติดลบ เพราะอะไร เพราะคนไทยไม่ใช่คนค้าขายไม่ได้มีรากเหง่าบริโภคนิยม บริหารเงินไม่เป็นขาดสิ่งที่เรียกว่า Nkow how แต่หากอยู่ในเวทีมวยไทย หรือเกษตรกรไทย ก็ไม่อาจมีชาติใดในโลกที่ทัดเทียมคนไทยได้เช่นกัน

                                                                                                     สมชาย นามขยัน
  18 เม.ย. 2561




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น