วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เลือกตั้งกันทีทำไมต้องมีซื้อเสียงขายสิทธิ์


       เหมือนจะอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน 
ตั้งแต่สมัยก่อนที่ประชาธิปไตยยังไม่เต็มใบมี
ทั้งแจกน้ำปลา,ปลากระป๋องบางคนเป็นผู้แทน
ผูกขาด เพราะเริ่มจากการแจกลูกเป็ด,ลูกไก่ 
หลายคนโทษคนอีสานทั้งที่มีกันทั้งประเทศ 
ว่าไอ้ที่มันวุ่นวายโกงบ้านโกงเมืองกันอยู่นี้ก็
เพราะมีการซื้อขายเสียง ทั้งประท้วงเรียก
ร้อง,ทั้งกีฬาสีเสื้อ บ้านเมืองไม่ไปใหนกันสักที
เหมือนวนอยู่ในอ่าง แล้วเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงไม่
หมดสิ้นไปจากเมืองไทยสักทีแล้ว
ประชาธิปไตยแบบไทยๆที่สงบนิ่งสักทีจะมีใหม 
แล้วทำไมยังมีการซื้อขายเสียงกันอยู่ 
ไม่อายนานาชาติเขาบ้างหรือไร 
เราจะมาดูกันว่ารากเหง้าแท้จริงคืออะไร
        ในแง่ของผู้สมัครเมื่อลงสู่สนามเลือกตั้งก็
จำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำชัยชนะ เพราะ
เลือกตั้งแต่ละครั้งฐานผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีเป็น
แสนคนที่ต้องแย่งกัน เอากันเหนียวกันจริงๆขั้น
ต่ำก็ต้องทำการบ้านระดับ 5-6 หมื่นคะแนน และ
ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ทั้งหมดอย่างเก่งก็ได้ผล
แค่ระดับ 35-40% ก็ขันเทพแล้ว และธรรมชาติ
ของพฤติกรรมคนไทยมันไม่ค่อยยอมรับ คน
อื่น แปลกหน้าโดยง่าย ต้องมีคนพูดถึงกล่าวถึง 
มีแรงเชียร์ จึงเป็นช่องว่างให้แก่ผู้มีประโยชน์ 
กับผู้สมัครได้ทำงานได้ออกแรงเชียร์ และ
ผู้ที่ทำหน้าที่นี้จำเป็นต้องมีบารมีมีทั้งพระเดช ,
พระคุณ เป็นคนกว้างขวางในพื้นที่ เพราะนิสัยคนไทย 
ขี้เกรงใจ เคารพผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเหนือกว่า
        จึงเป็นที่มาของความซับซ้อน ในสังคมไทย
เพื่อที่จะซื้อใจตัวแทนหรือหัวคะแนน ก็
จำเป็นต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อเอื่อประโยชน์ไม่
ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดิน การผลักดัน
การเมืองท้องถิ่น ตลอดจน ฝากลูกฝากหลาน 
เข้าทำงานท้องถิ่น หรือสอบบรรจุ เพื่อเป็นฐาน
คะแนนเสียงและยังเป็นความซับซ้อนต่อไปอีก
เมื่อเข้าทำงานนะที่หน่วยงานใด ก็จะเหมือนสั่ง
ได้ พฤติกรรมก็เหมือนนายว่าขี้ข้าพลอย จาก
ไม่ชัดก็ชัด จากผิดก็ดูให้เหมือนถูก เพราะการ
ใช้งานการเลือกตั้งนั้น ไม่ใช่เงินบาทสองบาท 
ต่อหัวเป็นพันคูณเข้าไป หากไม่เชื่อใจกัน
ไม่ได้เกื้อหนุนเกื้อกูลกันมาก่อนก็คงยาก 
      มิฉะนั้นกระบวนการการได้มาซึ่งคะแนน
เสียง จึงมิใช่ โลกที่สวยหรูเหมือนที่หลายคน
เข้าใจ แต่จริงๆแล้วก็เป็นกระบวนการ ของการ 
โฆษณาชวนเชื่อ จนกระทั่ง ถึงกระบวนการของ
การตุ๋นคน อย่างเป็นระบบ และมีหลักการ การ
เลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยจึงกลายเป็นเพียง 
เส้นทางที่ต้องเอาชนะคะคานกัน เป็นสิ่งที่ต้องมาช่วงชิง 
และกอบโกยเข้ากระเป๋า ตุนกระสุนไว้ก่อน 
เพื่อความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป 
ทุกอย่างในเส้นทางนี้จึงอยู่ในลักษณะแพ้ไม่ได้ 
มา 1 ต้องไปมากกว่า มาร้อยต้องไปร้อย 
เมื่อวิธีคิดมันต้องเอาคืน มัน จึงมิได้เอาทุกข์ยาก
และความลำบากเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน
เป็นที่ตั้ง มิได้ยึดหลักแห่งแนวนโยบาย อย่างแท้จริง 
แต่ยึดเพียงว่าทำอย่างไรให้นโยบาย
เอี่อต่อกระเป๋าตนซะมากกว่า